ศึกษาดูงานนอกพื้นที่

เสียงเพรียกจากพงไพร

ภูมิศาสตร์มหาสารคาม ขอเป็นหนึ่งเสียงในการอนุรักษ์ทรัพยากรของโลกให้คงอยู่ต่อไป

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Global Warming


ภาวะโลกร้อน

ภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นได้อย่างไร

     คงไม่เป็นคำถามที่ถึงกับโลกแตก เพราะโลกของเราตอนนี้เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว แถมบางวัน ฝนตกอีก ส่วนสาเหตุนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่นเพราะอุณหภูมิโลกของเราเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นเอง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่สมดุลของก๊าชในบรรยากาศ โดยเฉพาะเจ้าคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีมากเป็นพิเศษ จากสารพัด กิจกรรม และ พฤติกรรมของพวกเราชาวโลกเรานั้นเอง

      ก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์ จริงๆ แล้วมีประโยชน์ช่วยกักเก็บความร้อนที่โลกของเราได้รับจากดวงอาทิตย์เอาไว้ ไม่ให้โลกกลายเป็นดาวหนาวเหน็บเสียจนสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ไม่ได้ แต่นานวันเข้าเมื่อโลกพัฒนาเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมการผลิตทั้งสินค้าของกินของใช้ด้วยการเผาผลาญเชื้อเพลิง ล้วนเพิ่มปริมาณก๊าชชนิดนี้ขึ้นในชั้นบรรยากาศมากเกินความจำเป็น และเมื่อก๊าชคาร์บอนไดออกไซด์รวมตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศมากเข้ามากเข้า ก็กลายเป็นกำแพงหนากักเก็บความร้อนเอาไว้บนชั้นบรรยากาศ หรือที่เรียกกันว่า “ภาวะ เรือนกระจก (Greenhouse Effect)"

     ซ้ำยังมีการทำร้ายต้นไม้ที่เคยทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกอากาศคุณภาพเยี่ยมช่วยดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กลับมาใช้ แล้วเปลี่ยนเป็นออกซิเจนเพิ่มขึ้นตามจำนวนการเพิ่มขึ้นของมนุาย์อีกส่วนแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สำคัญอย่างมหาสมุทรก็ทำงานเต็มกำลังจนไม่สามารถจุก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
     
      ผลพวงการกักเก็บความร้อนของภาวะของกระจกพลอยทำให้อุณหภูมิโลกค่อยๆสูงขึ้น จนเกิดเป็น สภาวะโลกร้อน (Global warming) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์บอกว่า" อุณหภูมิโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเพียง 0.1 องศาเซลเซียส ก็ทำให้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยแล้ว"

       ยิ่งช่วงนี้อุณหภูมิเปลี่ยนบ่อยแบบถี่ยิบ เพราะอุณหภูมิโลกทำท่าจะเพิ่มสูงขึ้นจากค่าเฉลี่ยเดิม ถึงเกือบ 1 องศา ซึ่งจากการอ่านและได้ยินได้ฟังมา แค่เปลี่ยนแปลงถึง 2 องศาเซลเซียส โลกก็จะเข้าสู่่วิกฤตแล้ว ถึงยังมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า และอุณหภูมิโลกยังจะเพิ่มเฉลี่ยสูง 6 องศาเซลเซียส ภายใน 100 ปีนับจากนี้! เพราะแม้จะมีการรณรงค์กันอย่างหนัก แต่ส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมฉาบฉวย เช่น การใช้ถุงผ้าแต่ดันนำไปใส่ถุงพลาสติก หรือการนัดกันปิดไฟ 5 ถึง 10 นาที ซึ่งน้อยเกินไปหากเทียบกับกิจกรรมหลักคือ ภาคอุตสาหกรรมและกิจกรรมใน ครัวเรือน รวมทั้งภาคเกษตรกรรมที่ยังคงผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตัวการภาวะ เรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างต่อเนื่อง

     


ก๊าซที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก อันนำไปสู่สภาวะโลกร้อน


     1. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (co₂) ถูกปล่อยออกมาจากภาคอุตสาหกรรมและการคมนาคมมากที่สุด โดยมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงถ่านหินเพื่อผลิตสิ่งต่างๆ การเผาไหม้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ รวมทั้งการผลิตไฟฟ้า ทำให้ปัจจุบันมีก๊าซชนิดนี้อยู่ถึง 383 ppm ในชั้นบรรยากาศ

     2ก๊าซมีแทน (ch₄) ตัวการภาวะเรือนกระจกหมายเลข 2 สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะในภาคเกษตรกรรม เช่น ของเสียหรือมูลจากการเลี้ยงสัตว์ การเผาไหม้ของเชื้อเพลิง ฟอสซิลและน้ำมันรวมทั้งการทำเหมืองถ่านหิน ก๊าซชนิดนี้ในชั้นบรรยากาศมีอยู่ประมาณ 1.8 ppm และคิดเป็น 17% ของก๊าซที่เป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจก แต่ เห็นน้อยๆ อย่างนี้แค่โมเลกุลของมีเทนกลับสามารถดูดกลืนความร้อนได้มากกว่าคาร์บอน ไดออกไซด์ถึง 25 เท่า

     3. คลอโรฟลูโอโรคาร์บอน (Chlorofluorocarbon-CFC) เป็นก๊าซสังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ผลิตโฟม ใช้เป็นก๊าซขับดันในกระป๋องสเปรย์ ที่สำคัญใช้เป็นสารทำความเย็นในแอร์ ตู้ เย็น แต่แปลกเพราะเรายิ่งใส่สารทำความเย็นโลกกลับยิ่งร้อนขึ้น จึงมีการรณรงค์ให้เลิกใช้ก๊าซชนิดนี้ในตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ๆ ทำให้สามารถลดการใช้ทั่วโลกไปได้ ถึง 40% อย่างไรก็ตามในชั้นบรรยากาศยังมีเจ้าซีเอฟซีนี้อยู่ 1 ppm คิดเป็น 5% ของก๊าซเรือนกระ จกทั้งหมด

     4. ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N₂o) ก๊าซชนิดนี้เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ และจากการใช้ปุ๋ยไนเตรดในไร่นา การขยายพื้นที่เพาะปลูกการเผาไหม้เผาหญ้ามูลสัตว์ที่ย่อยสลาย และ เชื้อเพลิงถ่านหินจากอุตสาหกรรมที่ใช้กรดไนตริกในกระบวนการผลิต เช่น อุตสาหกรรม ผลิตเส้นใยไนลอน อุตสาหกรรมเคมี หรืออุตสาหกรรมพลาสติก รวมทุกชนิดซึ่งไม่ว่าจะด้วยวิธีการไหนก็ทำให้มีไนตรัสออกไซด์บนชั้นบรรยากาศอยู่ 0.3 ppm คิดเป็น 12% ของก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด

     5. ก๊าซโอโซน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าพออากาศวิปริตผิดเพี้ยน เจ้าโอโซนก็โดนพวกมากลาก ไปด้วย จากการทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังเราจากรังสีไวโอเลต (UV) แต่ทำไปทำมาหน้าที่พลีชีพ กักเก็บความร้อน ดันกลายเป็นหนึ่งในแนวเริ่มสร้างภาวะเรือนกระจกมากถึง 13% จาก ปริมาณที่มีอยู่ในชั้นบรรยากาศ 0.03 ppm




     ผลกระทบจากภาวะโลกร้อน

     1. ชายฝั่งถูกกัดเซาะ อุณหภูมิโลกสูงขึ้นทำให้ธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายเร็วขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ชายฝั่งหลายแห่งจึงถูกกัดเซาะอย่างจังหวัดสมุทรปราการ ก็สูญเสียไปกว่า 11,000 ไร่

     2. น้ำในทะเลสาบสูญหาย กรณีนี้เกิดขึ้นมากในแถบขั้วโลกเหนือช่วง 20-30 ปีมานี้ เมื่อน้ำแข็งที่เกาะตัวอยู่ใต้ทะเลสาบละลายจนหมด ทะเลสาบนั้นก็มีสภาพไม่ต่างจากการที่เราดึงจุกปิดน้ำออกจากอ่างล้างจานอย่างไรอย่างนั้น

     3. เกิดพายุรุนแรงมากยิ่งขึ้น สภาวะโลกร้อนทำให้เอุณหภูมิระหว่างผืนดินและผืนน้ำเพิ่มมากขึ้นและยิ่งมากยิ่ง ก่อให้เกิดแรงกดอากาศสูงนำไปสู่พายุลูกใหญ่ และถี่เหมือนที่ปรากฏเป็นข่าวให้เห็นบ่อยๆ

     4. ชนวนเกิดไฟป่า นอกจากพายุนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ยืนยันตรงกันว่าโลกร้อนยังทำให้เกิดไฟป่าได้ง่าย โดยมสภาพป่าที่แห้งกรอบเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี

     5. ดาวเทียมโคจรเร็วกว่าเดิม ตามปกติโมเลกุลของอากาศจะมีแรงดึงดูดมากพอในการทำให้ ดาวเทียมโคจรช้าๆ ผู้ควบคุมอาจต้องจุดระเบิดเป็นระยะๆ บ้าง เพื่อให้ดาวเทียมโคจรต่อไปอย่างถูกต้อง แต่เมื่อเจ้าคาร์บอนไดออกไซด์ลอยไปสะสมในบรรยากาศชั้นล่างมากขึ้น แรงดึงดูดของบรรยากาศชั้นนอกสุดจะลดกำลังลง ดาวเทียมจึงโคจรเร็วกว่าปกติ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย เพราะอาจเกิดการผิดพลาดจากการสื่อสารที่ใช้ดาวเทียมเป็นหลักได้


แต่ถ้าจะให้ยกตัวอย่างที่รุนแรงมากๆก็ได้แก่

     1. น้ำท่วมโลก แม้จะไม่ถึงกับไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าหากธารน้ำแข็งทั่วโลกยังละลายด้วยอัตราปัจจุบัน จะส่งผลให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องคุกคามผืนดินมากขึ้น เช่น หมู่ เกาะมัลดีฟส์ ในมหาสมุทรอินเดีย ถูกน้ำท่วมสูงขึ้นถึงปีละ 2 นิ้ว


     2. เกิดโรคอุบัติใหม่ ไข้หวัดนก, ซาร์, ไข้หวัด 2009 ล้วนเป็นโรคอุบัติใหม่ หรือโรคที่ไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งส่วนหนึ่งผลมาจากเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ และ อุณหภูมิ ทำให้เชื้อโรคเดิมเกิดการวิวัฒนาการ


     3. ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหาย เรื่องนี้เริ่มเห็นได้ชัดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเมื่อฝนฟ้า ไม่ตก หรือไม่มาตามปกติจนเกษตรกรแทบต้องพับเก็บคู่มือทำการเกษตรของคนรุ่นปู่รุ่นย่า ผลผลิตที่ ขาดแคลนส่งผลให้ราคาพืช, ผัก, ผลไม้ในตลาดโลก ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดคาดการณ์กันว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ได้ในอนาคต!


     4. สัตว์ไร้ที่อยู่และสูญพันธุ์ ผลจากน้ำท่วมและสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทำให้สัตว์หลายชนิดอาจต้องตระเตรียมหาที่อยู่ใหม่ เพราะแหล่งที่อยู่เดิมขาดแคลนอาหาร อันเป็นผลมาจากภัยแล้ง บางส่วนอาจต้องสูญหาย เช่น หมีขาวขั้วโลก และนกเพนกวิน ที่ไม่มีบ้านให้อยู่เนื่องจากธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายกลายเป็นน้ำทะเลอย่างรวดเร็ว ขณะที่นกอพยพก็เร่งปรับตัวจูนนาฬิกาชีวภาพในตัวของมันให้เข้ากับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปไม่อย่างนั้นก็เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เพราะการหลงทิศทางของมัน


     5. วิกฤตของระบบนิเวศในทะเล เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้น น้ำในทะเลก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้นตามไปด้วย เชื้อโรคต่างๆใต้สมุทรจึงเติบโตได้ดี ทำให้น้ำทะเลกลายเป็นกรดส่งผลให้ปะการังเกิดการฟอกขาว ซึ่ง เป็นการส่งสัญญาณว่าพวกมันกำลังจะตายลง คราวนี้จะเป็นเรื่องยุ่งขึ้นมาทันที เพราะปะการังเป็นจุด เริ่มต้นของห่วงโซ่อาหารในท้องทะเล เมื่อไม่มีปะการัง ปลากินพืชจะขาดสารอาหารและย่อมตายตามสิ่งที่ตามมาคือ ปลากินเนื้อก็อยู่ไม่ได้เช่นกันเมื่อพร้อมใจกันจากเสียขนาดนี้..มหาสมุทรจะกลายเป็นท้องน้ำ ไร้ชีวิต ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกกักเก็บไว้ก็ถูกปลดปล่อยออกไปเพิ่มความร้อนในชั้นบรรยากาศเป็นเท่าทวี!

    




     ข้อมูลจากสถาบัน IPCC (The intergovernmental Panel on Climate Change) รายงานว่าโลกจะถึงจุดอันตราย หรือ Point of No Return หากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศเพิ่มถึงระดับ 400 ppm จากปัจจุบันมีอยู่ราว 383 ppm ปรากฏว่าเรื่องนี้มีคนแย้งแถมยังเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่นิตยสาร Time ยกย่องให้เป็น 1 ใน 100 ผู้ทรงอิทธิพลของโลก ดร.เจน แฮนเช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศเบอร์ 1 ของ NASA สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คนเก่งท่านนี้ค้นพบก็คือ "ระดับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน โลก ได้เดินมาถึงจุดที่เป็นอันตรายตั้งแต่แตะที่ตัวเลข 350 ppm แล้ว"

     350 ppm คืออะไร ?

       350 ppm คือ จำนวนที่สำคัญที่สุดในโลก มันเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าเป็นค่าสูงสุดที่ ปลอดภัยสำหรับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ สามปีที่แล้วหลังจาก "climatologists" ชั้นนำพบน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วในอาร์กติก และอาการอื่นๆ น่ากลัวการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะออกระเบียนการศึกษาแสดงว่าโลกต้องเผชิญทั้งมนุษย์ และธรรมชาติ disaster ถ้าความเข้มข้นในบรรยากาศของ CO2 อยู่เหนือ 350 ส่วนต่อล้านทุกคนจาก Al Gore ที่นักวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศของสหประชาชาติด้านบนมี embraced ตอนนี้เป้าหมายนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเสถียรภาพดาวเคราะห์และป้องกันภัยสมบูรณ์ ขณะนี้เคล็ดลับคือการเป็นผู้นำของเราให้ความสนใจ และนโยบาย ฝีมือที่จะทำให้โลกได้รับรู้ถึงความน่ากลัวของ 350

เราจึงต้องช่วยเหลือโลกของเรา

     เราจึงต้องช่วยกันทำให้ปริมาณก๊าซวายร้ายชนิดนี้ ลดลงมาอยู่เท่ากับหรือต่ำกว่า 350 ppm ว่าแล้ว ดร.เจน แฮนเช่น จึงเปิดเว็บไซด์ www.350.org เพื่อใช้เป็นช่องทางเผยแผ่และรณรงค์ในเรื่องนี้
 โดยมีการทำกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามีภาพและวีดีโอมาฝากให้รับชมด้วย






"โลกร้อน ลดง่ายๆ"


     ร่วมแรงร่วมใจทำให้โลกแบบไม่ต้องนัดหมาย แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ ลดโลกร้อนวิธีแรกก็ง่ายๆ

      อันนี้ง่ายมาก ท่องจำไว้เลยว่า ไฟฟ้าทุกยูนิตไม่ได้มาฟรี ในกระบวนการผลิตล้วนต้องใช้น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ที่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งสิ้น ยิ่งใช้ไฟมากเข้ามากเข้า ก๊าซเรือน กระจกก็ย่อมเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นมาช่วยกันประหยัดไฟ ซึ่งทำได้สบายๆ ง่ายจัง ดังนี้



     1. ปิดไฟ ถอดปลั๊กทุกครั้ง เมื่อไม่ได้ใช่งานเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดนั้น
     2. เลือกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเครื่องหมายประหยัดไฟ เบอร์ 5 ส่วนหลอดไฟ ควรเลือกใช้หลอดตะเกียบที่กินไฟน้อย แถมใช้ได้ยาวนานกว่า อีกด้วย
     3. ถ้าต้องเปิดแอร์คลายร้อน ควรปรับอุณหภูมิให้ไม่ต่ำกว่า 25 องศา เซลเซียส เพราะเป็นระดับที่ใช้ไฟฟ้าได้อย่างคุ้มค่าที่สุด
     4. ใช้น้ำร้อนให้น้อย ไม่ว่าต้มดื่มหรือใช้เครื่องทำน้ำอุ่น เพราะการทำความร้อนสิ้นเปลืองไฟมาก
     5. รีดผ้าครั้งละมากๆ ส่วนเหตุผลก็เหมือนข้อข้างบนเปี๊ยบ



   การผลิตถุงพลาสติกแต่ละใบได้ผลพลอยได้เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาล ทั้งพอถูกใช้และทิ้งขว้างอย่างไม่ใยดี ก็วนกลับไปซ้ำเติมสิ่งแวดล้อมด้วยความเป็นขยะย่อยยากอย่างเร็วก็แค่ 450 ปีเท่านั้นเอง และถ้าคิดจะเผาทิ้งเสียเลย สิ่งที่ได้มาก็คือ ก๊าซเรือนกระจกเจ้าเก่า รับประกันไม่ร้อนยินดีคืนเงิน
     1. ฝึกพูดคำว่า “ไม่ต้องใส่ถุง” กับผู้ขายเวลาซื้อของชิ้นเล็กชิ้นน้อยขนมขบเคี้ยวหรือน้ำดื่ม ที่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นจะต้องไปอยู่ในถังขยะ
     2. เปลี่ยนไปใช้ถุงผ้าแบบเขาฮิตกันนี่แหละ ไม่ต้องแคร์สื่อหรอกหากใครว่าเราตามกระแส
     3. ใช้ถุงพลาสติกเหมือนเดิมก็ได้ แต่ใช้ซ้ำๆ ย้ำๆ หรือพกถุงพลาสติกไว้กับตัวตลอดเวลาพร้อมควักมาใช้แทนถุงใบใหม่จากร้านค้าได้ทุกเมื่อ
     4. ขวดพลาสติกก็มีความสำคัญ ถ้าเป็นไปได้ควรใช้ขวดน้ำแบบใช้ซ้ำได้แทนการดื่มน้ำจากขวดพลาสติกแบบเดิม
     5. ทุกอย่างที่เป็นพลาสติก ควรพยายามใช้ซ้ำๆ ย้ำๆ ให้นานที่สุด เพื่อลดการผลิตเพิ่มซึ่งเป็นผลอันตรายถึงการเพิ่มของก๊าซเรือนกระจกให้แก่โลกด้วย



      คราวนี้ก็มาถึงเรื่องปากท้อง ใครคิดว่าการทำเกษตรเป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งของภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะภาคปศุสัตว์ ที่ทำให้ก๊าซเรือนกระจก ที่ร้ายกาจยิ่งกว่าอย่างมีเทนและไนตรัสออกไซด์ ก๊าซมีเทนดูดซับความร้อนได้มากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 21 เท่า ส่วนไนตรัสออกไซด์ ไปไกลกว่านั้น ดูดได้อีกถึง 300 เท่า องค์การเอกชนโลกสีเขียวหรือ Green Peace เคยทำรายงานบวกลบคูณหารว่า กว่าจะได้เนื้อวัว 1 ก.ก. เกิดก๊าซเรือนกระจก 12.9 ก.ก. ถ้า เป็นเนื้อหมูก็ 6.35 ก.ก. ส่วนเนื้อไก่และเนื้อสัตว์ปีกอื่นๆ จะอยู่ที่ 4.57 ก.ก. นอกจากนี้การเลี้ยงวัว 1 ตัว เพื่อนำไปใช้ เป็นอาหาร ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่าได้กับการขับรถปล่อยควันพิษ เป็นระยะทางถึง 70,000 กิโลเมตรเลยทีเดียว ซึ่งก๊าซเหล่านี้เกิดจากการหายใจ การผายลม และมูลของสัตว์ นอกจากนี้และให้ได้มาซึ่งพืชอาหารสัตว์จำนวนมหาศาล พื้นที่ป่ามากมายจึงถูกทำลายครึ่งหนึ่งของ พืชอาหารสัตว์เหล่านี้ เพียงพอสำหรับความบรรเทาความหิวโหยให้กับผู้ขาดแคลนอาหารได้มากมาย

     1. ลดการทานเนื้อสัตว์ เพราะเนื่องจากจะช่วยการลดก๊าซเรือนกระจกทางอ้อม ยังได้บุญ และดีต่อสุขภาพทั้งคนทั้งโลก
     2. เลือกทานพืชผักผลไม้ หรือทานอาหารมังสวิรัติ นอกจากมีข้อดี เมื่อตะกี้แล้ว ยังเป็น การสร้างรายได้ให้ชาวไร่ชาวนาอีกทางหนึ่งด้วย
     3. ทานเสร็จแล้ว ถ้าเหลือแล้วก็ต้องแยกเศษผักเศษอาหารออกจากขยะอื่น เพื่อป้อง กันการหมักหมมจนเกิดเป็นก๊าซมีเทน
     4. ปลูกต้นไม้ชดเชย พื้นที่ป่าซึ่งถูกเปลี่ยนไปเป็นทุ่งเลี้ยงสัตว์ และเลือกสวนไร่นาแค่ต้นเดียวก็สามารถช่วยโลกช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 1 ตัน ตลอดอายุขัย



   น้ำมัน คืออาหารสำคัญของเครื่องยนต์ ช่วยให้เราเดินทางไปไหนต่อไหนได้และควันขาวๆ ดำๆ ที่พ่นออกมาจากท่อไอเสีย ทั้งรถ เรือ เครื่องบิน ก็คือสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของภาวะโลก ร้อน

     1. เดินทางกันแบบทัวร์ยกแก๊ง ใครไปไหนถ้าใกล้ฉัน ไปด้วย
     2. ใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น ถ้าไม่ชอบคนเยอะแยะ ขอแนะนำจักรยาน น่องโต สวยได้ โดยไม่ ต้องสร้างมลพิษ


   ปฏิบัติการกิจข้างต้นอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยามว่างๆอยากชวนมานั่งพักดูภาพยนตร์เกี่ยวกับ โลกร้อน ซึ่งมีอยู่มากมายหลายเรื่อง และเกือบทั้งหมดช่วยสร้างจิตสำนึกทำให้เกิดความตระหนักและเพิ่มการตื่นตัวในการอนุรักษ์ได้เป็นอย่างดี ขอแนะนำหนังดีๆอย่าง The day after tomorrow ที่คงทำให้หลายๆคนกลัวโดนแช่แข็งเหมือนในหนังแน่ๆ












วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556


หลุมแบริงเจอร์ : Barringer crater

สำรวจโลก_Barringer_Crater_lg
      หลุมแบริงเจอร์ : Barringer crater เป็นหลุมที่เกิดจากอุกาบาต ตั้งอยู่ที่รัฐแอริโซน่า สหรัฐอเมริกา อายุ 49,000 ปี เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 กิโลเมตร ลึก 174 เมตร เป็นหลุมอุกาบาตที่ชัดเจน และคงสภาพเดิมไว้ได้มากที่สุด และมีขอบสูงกว่าที่ราบโดยรอบ 45 เมตร
 จากหลักฐานเชื่อว่าเกิดจากดาวตกที่พุ่งเข้าชนมีนิกเกิลเหล็กเป็นองค์ประกอบหลัก ขนาดราว 45 เมตร ความเร็ว 12.8 กิโลเมตรต่อวินาที พลังงานในการชนครั้งนั้น เทียบเท่ากับระเบิด ทีเอ็นที หนัก 10 เมกะตัน
 
      หลุมนี้พบในศตวรรษที่ 19 โดยชาวยุโรปที่เข้ามาบุกเบิกดินแดนแถบนี้ ในปี คศ.1903 แดเนียล เอ็ม แบร์ริงเจอร์ (Daniel M. Barringer) นักธุรกิจและวิศวกรเหมืองแร่ ได้ซื้อที่ดินและหลุมนี้ไว้โดยหวังว่าจะสามารถขุดเอาเหล็กบริสุทธิ์จากอุกาบาตไปขาย แต่ใช้เวลาถึง 27 ปีก็ไม่สำเร็จ เนื่องจากเนื้อสสารของดาวตกได้กลายเป็นไอไป เพราะความร้อนที่เกิดจากการเสียดสีกับบรรยากาศ
 
      แต่ปัจจุบันหลุมอุกาบาตนี้ได้สร้างรายได้ให้กับครอบครัวแบร์ริงเจอร์อย่างต่อเนื่อง เพราะสถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเมทียวสำคัญในรัฐแอริโซนา

ที่มา : http://www.nextsteptv.com

หุบเขาโมนูเมนต์ : Monument Valley


หุบเขาโมนูเมนต์ : Monument Valley

สำรวจโลก_Monumen_lg
      หุบเขาโมนูเมนต์ : Monument Valley ตั้งอยู่ที่เส้นเขตแดนระหว่างรัฐยูทาห์กับรัฐแอริโซนาทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อหุบเขามีที่มาจากแท่งหินค้ำขนาดมหึมา ซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนที่ราบไม้พุ่มอันแห้งแล้ง ภูมิภาคแถบนี้เต็มไปด้วยแท่งหินหรือซากหินที่หลงเหลือจากการสึกกร่อน
 นักธรณีวิทยาเรียกแท่งหินลักษณะดังกล่าวนี้ว่า”โมนูเมนต์”  ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิ่งก่อสร้างจากฝีมือมนุยษ์เช่น ตึกสูง หินแท่งรูปร่างแปลกตาจำนวนมากเหล่านี้ถูกเรียกขานว่า”หินรูปประสาท”ซึ่งเป็นแท่งหินที่มีลักษณะยอดราบ หรือเรียกอีกอย่างเนิน”เมซา”  สูงกว่า 300 เมตร และด้านบนมีหินคล้ายใบเสมาปรากฏอยู่
 
      นอกจากนี้ยังมี”หินรูปถุงมือ”ซึ่งมีลักษณะเป็นเนินยอดป้านดูคล้ายนิ้วมือทั้งสี่ ไม่ไกลมีแท่งหินรูป”แม่ไก่ในรัง” ถัดมาเป็น”เนินยอดบ้านเมอร์ริค”และ”เนินยอดบ้านมิตเชล” และมี”หินรูปแม่อธิการ”และ”หินแม่ชีทั้งสาม”ซึ่งทั้งสองเนินเป็นหินที่สูงที่สุดในกลุ่มแท่งหิน สูงกว่า 245 เมตร
 
      เมื่อประมาณ 250 ล้านปีที่แล้ว ทรายสีแดงของพื้นที่นี้เคยปกคลุมด้วยทะเลตื้นๆ โคลนซึ่งจมสะสมอยู่บนพื้นท้องทะเลได้กดลงบนทราย ทำให้กลาย ทำให้เกิดหินทรายทีมีรูพรุน ส่วนโคลนค่อยๆกลายสภาพเป็นหินดินดานต่อมาน้ำทะเลค่อยๆตื้นเขินขึ้น และเมื่อ 70 ล้านปีที่แล้วเปลือกโลกเกิดการดันตัวอย่างรุนแรงจนสูงขึ้นมา ทำให้เปลือกโลกส่วนนั้นมีลักษณะเป็นรูปโดม ก่อนเย็นตัวลงและแข็งตัวในที่สุด พื้นที่ซึ่งเคยอยู่ใต้ทะเลจึงกลายเป็นที่ราบสูงหินทรายอันกว้างใหญ่ ปกคลุมด้วยหินดินดานและหินกรวดมน หลายปีต่อมา ชั้นหินนี้ถูกลมและน้ำแปรเปลี่ยนรูป โดยตอนแรกเป็นภูเขายอดราบ มีหุบผาชันและร่องธารพาดผ่านไขว้ไปมา กลายเป็นเนินเมซาทีมีพื้นที่ขนาดเล็กลงและในทีสุดก็เป็นแท่งหินสูงหรือเนินป้าน
 
      พื้นที่ส่วนใหญ่ไม่เหมาะแก่การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ แทบเรียกได้ว่าไร้ร่องรอยของมนุษย์ มีเพียงอินเดียนแดงชนเผ่านาวาโฮอาศัยอยู่ ซึ่งยังเลี้ยงแกะและแพะในถิ่น นอกจากนี้ ยังมีกระต่าย และ พวกสัตว์เลือดเย็นเช่น กิ่งก่าแผงคอ คางคกมีเขา และ งูหางกระดิ่ง ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเพียง 20 เซนติเมตรต่อปี ไม่พืชทนแล้งขึ้นบ้างเช่น จูนิเพอร์ สนพินยอน และ กระบองเพชร
ที่มา : http://www.nextsteptv.com

อุทยานแห่งชาติหวงหลง


อุทยานแห่งชาติหวงหลง


SRL_huanglong_lg
      หวงหลง :  Huanglong   จีนตัวย่อ: 黄龙风景名胜区  แหล่งมรดกโลกที่งดงามด้วยภูมิประเทศภูเขาสูงยอดปกคลุมด้วยหิมะ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน ประเทศจีน มีความหลากหลายทางระบบนิเวศ ทั้งทางกายภาพ เช่น น้ำตก และน้ำพุร้อน หรือชีวภาพ แพนด้าและลิงจมูกเชิด ยังสามารถพบเห็นได้ ณ ที่นี่อีกด้วย
      ภูมิทัศน์ของHuanglong เป็นภูเขาที่ค่อนข้างง่ายสำหรับการปีนขึ้นไปและเป็นภูเขาปกคลุมไปด้วยต้นไม้ พืช ยังสระว่ายน้ำแร่จำนวนมากและน้ำตกขนาดเล็กอีกมากมาย
 
      เนื่องจากมีวิวัฒนาการทางธรณีวิทยามาเป็นพันๆ ปี ประกอบด้วยสัณฐานทางธรณีวิทยาที่มีความหลายหลาย ทำให้เกิด Huanglong ขึ้นมา
 
      ได้มีการก่อสร้างวัดหวงหลงขึ้น เพื่อเซ่นไหว้มังกรเหลือง แต่นั้นมาความงดงามเป็นเอกของธารน้ำหวงหลงจึงได้อวดสู่สายตาของชาวโลก คำว่า “หวงหลง” แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “มังกรเหลือง” ซึ่งเป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยแนวหินสีเหลือง ที่เกิดจากการจับตัวของแคลเซียมที่ทอดตัวยาวประมาณ 7 กิโลเมตร และกว้าง 300 เมตร คล้ายมังกรสีเหลือง
 
      หวงหลงได้จดทะเบียนร่วมกันเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 16 เมื่อปี พ.ศ. 2535ที่เมืองแซนตาเฟ ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังต่อไปนี้
      (vii) – เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของการเป็นตัวแทนในวิวัฒนาการสำคัญต่างๆในอดีตของโลก เช่น ยุคสัตว์เลื้อยคลาน ยุคน้ำแข็ง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการพัฒนาความหลากหลายทางธรรมชาติบนพื้นโลก
ที่มา : http://www.nextsteptv.com

หลุมอุกกาบาตโบราณ ทะเลสาบโบซัมทวี


หลุมอุกกาบาตโบราณ ทะเลสาบโบซัมทวี


สำรวจโลก_lake-bosumtwi_lg
      หลุมอุกกาบาตโบราณ ทะเลสาบโบซัมทวี (Lake Bosumtwi Crater)ตั้งอยู่ที่สาธารณรัฐกานา กว้างขนาด 10.5 กิโลเมตร อายุประมาณ 1.07 ล้านปี หากมองโดยทั่วไปจะไม่ทราบว่านี่คือหลุมอุกกาบาต เพราะพื้นที่หลุมที่เกิดขึ้นกลายเป็นทะเลสาบโมซัมทวี โดยมีป่าดงดิบล้อมรอบ

      ในอดีตพื้นที่แห่งนี้เป็นป่าดงดิบที่อุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่ามากมาย เมื่อเกิดหลุมอุกกาบาตขึ้น จึงถูกเติมเต็มด้วยน้ำฝนจนกลายเป็นทะเลสาบ
 
      ชื่อ Bousumtwi หรือ Bosomtwe เป็นภาษาพื้นเมืองหมายถึง เทพแอนทิโลป (Antelope God) อันมาจากตำนานพื้นเมืองที่เล่าไว้ว่า นายพรานชาวแอชานที (Ashanti) ได้ไล่ตามแอนทีโลปในป่าบริเวณนี้ แต่ไม่พบเนื่องจากแอนทีโลปหายไปในแอ่งน้ำเล็ก ๆ ชาวแอชานที ถือว่าทะเลสาบแป่งนี้เป็นทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์ และเป็ฯสถานที่ซึ่งวิญญาณของผู้วายชนม์มากล่าวร่ำลาเทพเจ้าทวี (Twi)
 
      ทะเลสาบตอนนี้เป็นพื้นที่รีสอร์ทที่เป็นที่นิยมกับคนในท้องถิ่นสำหรับการเดินทางมาน้ำตกปลาและล่องเรือมีหมู่บ้านริมทะเลสาบ มีโรงพยาบาลเล็กๆอยู่แถวนั้นด้วย
ที่มา : http://www.nextsteptv.com

น้ำตกอีกวาซู: Iguazu Falls


น้ำตกอีกวาซู: Iguazu Falls


สำรวจโลก_Iguacu_lg
      น้ำตกอีกวาซู: Iguazu Falls  แปลว่า “สายน้ำอันยิ่งใหญ่” เป็นคำมาจากภาษากวารานี (Guarani) ชาวอินเดียนแดงเผ่าดั้งเดิม น้ำตกอีกวาซูตั้งอยู่บริเวณรอยต่อพรมแดนระหว่างประเทศบราซิลกับประเทศอาร์เจนตินา เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้
 ใหญ่กว่าน้ำตกไนแอการาประมาณ 30 เท่า อย่างไรก็ตามขนาดของน้ำตกใกล้เคียงกับน้ำตกวิกตอเรียในทวีปแอฟริกา
 
       น้ำตกอีกวาซูเกิดจากแม่น้ำอีกวาซูซึ่งไหลมาจากที่ราบสูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบต่ำกว่า จึงกลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่เป็นแนวยาวกว่า 4 กิโลเมตร สูงกว่า 269 ฟุต ประกอบด้วยน้ำตกน้อยใหญ่อีก 275 แห่ง ในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคมปริมาณน้ำมีมากถึงกว่า 13.6 ล้านลิตรต่อวินาที แต่ในช่วงฤดูร้อน คือระหว่างเมษายนถึงเดือนตุลาคม ปริมาณน้ำจะลดลงเหลือ 2.3 ล้านลิตรต่อวินาที
 
      บริเวณรอบ ๆ น้ำตกจะเกิดละอองน้ำอยู่ตลอดเวลาและมีเสียงดังไปไกลกว่า 24 กิโลเมตร บนฝั่งประเทศบราซิลจะมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและงดงาม แต่ทางฝั่งประเทศอาร์เจนตินาสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้กว่า
 
      ประเทศบราซิลและประเทศอาร์เจนตินาต่างประกาศให้บริเวณพื้นที่ป่าริมน้ำตกเป็นเขตอุทยานแห่งชาติของทั้งสองประเทศ เพื่อคุ้มครองรักษาสัตว์ป่าเขตร้อนที่มีอยู่อย่างชุกชุม เช่น นกไทนามัส แมวป่าโอเซล เสือจากัวร์ สมเสร็จ เพ็คคารี และสัตว์นานาชนิดอีกมากมาย
ที่มา : http://www.nextsteptv.com

ฮาลองเบย์ : Halong Bay


ฮาลองเบย์ : Halong Bay


SRL_Ha_Long_Bay_lg
      อ่าวหะล็อง หรือที่นิยมเรียกตามชื่อในภาษาอังกฤษว่า ฮาลองเบย์ : Halong Bay  เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร
       ชื่อตามการออกเสียงในภาษาเวียดนามเขียนได้ว่า “Vinh Ha Long” หมายถึง “อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง”
      ในอ่าวหะล็องมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ (Hang Đầu Gỗ) หรือชื่อเดิมว่า “กร็อตเดแมร์แวย์” (Grotte des Merveilles) ซึ่งตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเยี่ยมชมอ่าวเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในถ้ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก
 
       เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกั๊ตบ่าและเกาะต่วนเจิว ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ บางเกาะก็มีชายหาดที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา
 
      ตามตำนานพื้นบ้านได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตนานมาแล้ว ระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพชาวจีนผู้รุกราน เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม มังกรเหล่านี้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวหะล็องในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออก อัญมณีเหล่านี้กลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าว เป็นเกราะป้องกันผู้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมาก็คือเวียดนามในปัจจุบัน
 
บางตำนานสมัยใหม่ก็กล่าวไว้ว่า ปัจจุบันยังมีสัตว์ในตำนานที่ชื่อว่า Tarasque อาศัยอยู่ที่ก้นอ่าว
ที่มา : http://www.nextsteptv.com

พีระมิดคูฟู


พีระมิดคูฟู


SRL_cheops_lh
      พีระมิดคูฟู หรือ พีระมิดคีออปส์ นิยมเรียกกันโดยทั่วไปว่า มหาพีระมิดแห่งกีซา : The Great Pyramid of Giza เป็น พีระมิดในประเทศอียิปต์ที่มีความใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุด ในหมู่พีระมิดทั้งสามแห่งกีซา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัย ฟาโรห์คูฟู (Khufu) แห่ง ราชวงศ์ที่ 4 ซึ่งปกครองอียิปต์โบราณ เมื่อประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล หรือกว่า 4,600 ปีมาแล้ว
      เพื่อใช้เป็นที่เก็บรักษาพระศพ ไว้รอการกลับคืนชีพ ตามความเชื่อของชาวอียิปต์ในยุคนั้น มหาพีระมิดนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และเป็นหนึ่งเดียว ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคโบราณ ที่ยังคงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
 
      เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จในสมัยของฟาโรห์คูฟู มหาพีระมิด มีความสูงถึง 147 เมตร นับจากก่อสร้างแล้วเสร็จ พีระมิดคูฟูนับเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลก เป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานถึง 43 ศตวรรษ จนกระทั่ง มีการก่อสร้าง มหาวิหารลินคอล์น ที่ ประเทศอังกฤษ ซึ่งมียอดวิหารสูง 160 เมตร ในปี พ.ศ. 1843 ซึ่งต่อมายอดวิหารนี้ถูกพายุทำลายในปี พ.ศ. 2092 (ค.ศ. 1549) แต่ขณะนั้นส่วนยอดพีระมิดคูฟูก็สึกกร่อนลงจนมีความสูงไม่ถึง 140 เมตร ทำให้ วิหารเซนต์โอลาฟ (St. Olav’s Church) ในประเทศเอสโตเนีย ซึ่งเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2062 (ค.ศ. 1519) กลายเป็นสิ่งก่อสร้างสูงที่สุดในโลก
 
      ด้วยความสูงของยอดวิหาร 159 เมตร ปัจจุบันมหาพีระมิดมีความสูง ประมาณ 137 เมตร ซึ่งต่ำกว่าเมื่อแรกสร้างประมาณ 10 เมตร และรัฐบาลอียิปต์ได้ดำเนินการติดตั้ง โครงโลหะเพื่อแสดงถึงความสูงที่แท้จริง ขณะก่อสร้างแล้วเสร็จ ไว้ที่ส่วนยอดของ มหาพีระมิดคูฟู
      รูปทรงของพีระมิดมีลักษณะเฉพาะตัว ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ประกอบด้วยด้านสามเหลี่ยม 4 ด้าน ยอดสามเหลี่ยมแต่ละด้าน เอียงเข้าบรรจบกัน เป็นยอดแหลม ฐานทั้ง 4 ด้านของพีระมิด กว้างด้านละประมาณ 230 เมตร (756 ฟุต กว้างกว่า สนามฟุตบอล ต่อกัน 2 สนาม) คิดเป็นพื้นที่ฐานประมาณ 53,000 ตารางเมตรหรือประมาณ 33 ไร่ ฐานล่างสุดของพีระมิด ก่อขึ้นบนชั้นหินแข็ง ซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้ชั้นทราย เพื่อป้องกันปัญหา การทรุดตัวของชั้นทราย ซึ่งจะมีผล กับความคงทนแข็งแรง ของโครงสร้างพีระมิด ผิวหน้าแต่ละด้านของ พีระมิดคูฟู ทำมุมเอียงประมาณ 52 องศา ซึ่งมีส่วนทำให้พีระมิด คงทนต่อการสึกกร่อน อันเนื่องมาจากพายุทราย
 
       ตามที่มีข้อมูลปรากฏในแหล่งต่างๆ อ้างถึง จำนวนหิน ที่นำมาก่อสร้าง พีระมิดคูฟู ต่างกันไปตั้งแต่ 2 ล้านถึง 2.6 ล้านก้อน ประมาณน้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 ตัน โดยจัดเรียงซ้อนกันขึ้นไปประมาณ 200 ชั้น คิดเป็นน้ำหนักรวมกว่า 6 ล้านตัน
      สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งคือด้านทั้ง 4 ของพีระมิดหันออกในแนวทิศ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ถูกต้องแม่นยำตามทิศจริงไม่ใช่ตามทิศเหนือแม่เหล็ก จึงไม่ใช่การกำหนดทิศด้วยเข็มทิศ ตำแหน่งของพีระมิดนั้น คลาดเคลื่อนจากทิศเหนือเพียง 3 ลิปดา 6 พิลิปดา แสดงถึงความสามารถของ ชาวอียิปต์โบราณ ในการประยุกต์ความรู้ทางดาราศาสตร์ มาใช้ในการกำหนดทิศทางได้เป็นอย่างดี
ที่มา : http://www.nextsteptv.com

หุบเขาจิ่วจ้ายโกว : Jiuzhaigou Valley


หุบเขาจิ่วจ้ายโกว : Jiuzhaigou Valley


SRL_jiuzhaigou_valley_lg
      หุบเขาจิ่วจ้ายโกว เป็นพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีชื่อเสียงจากน้ำตกหลายระดับชั้นและทะเลสาบที่มีสีสันงดงาม และได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2535

      จิ่วจ้ายโกวตั้งอยู่ทางตอนใต้สุดของเทือกเขาหมินซาน ห่างจากเมืองเฉิงตูไปทางเหนือ 330 กิโลเมตร ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทศมณฑล Nanping ในเขตปกครองตนเองชนชาติทิเบตและเชียงอาป้า ทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน ใกล้เขตแดนของมณฑลกานซู
 
      บริเวณหุบเขามีพื้นที่อย่างน้อย 240 ตารางกิโลเมตร ขณะที่องค์กรด้านการอนุรักษ์บางแห่งกำหนดให้มีพื้นที่ 600-700 ตารางกิโลเมตร โดยมีพื้นที่กันชนเพิ่มเข้ามา 400 – 600 ตารางกิโลเมตร ระดับความสูงจะแตกต่างไปตามแต่ละพื้นที่ โดยมีทั้งพื้นที่มีมีความสูง 1,998 – 2,140 เมตร (ที่ปากทางเข้าหุบเขาซูเจิ้ง) ไปจนถึง 4,558 – 4,764 เมตร (บนภูเขา Ganzigonggai ที่ส่วนยอดสุดของหุบเขา Zechawa)
 
      สภาพอากาศในหุบเขาจัดว่าหนาวเย็น ตลอดปีมีอุณหภูมิเฉลี่ย 7.2 °C เดือนมกราคม -1 °C และเดือนกรกฎาคม 17 °C ปริมาณน้ำฝนตลอดทั้งปี 661 มิลลิเมตร โดยเป็นปริมาณระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมราว 80%
 
      พื้นที่อันห่างไกลแห่งนี้มีชาวทิเบตและเชียงตั้งรกรากอยู่มานานหลายศตวรรษ แต่ไม่ได้มีการสำรวจอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 มีการทำธุรกิจตัดไม้อย่างหนักจนถึงปี พ.ศ. 2522 ซึ่งรัฐบาลจีนได้สั่งห้ามกิจการดังกล่าว และประกาศพื้นที่นี้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2525 จนกระทั่ง พ.ศ. 2527 จึงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยการวางกฎระเบียบและสถานที่ต่างๆภายในอุทยานเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2531 และในปี พ.ศ. 2535 องค์การยูเนสโกได้ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นมรดกโลก และเป็น World Biosphere Reserve ใน พ.ศ. 2540
 
      ตั้งแต่เริ่มเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม จำนวนนักท่องเที่ยวได้เพิ่มมากขึ้นทุกปี โดยในปี พ.ศ. 2527 มีนักท่องเที่ยว 5,000 คน พ.ศ. 2534 มี 170,000 คน พ.ศ. 2538 มี 160,000 คน และ พ.ศ. 2540 มี 200,000 คน โดยเป็นชาวต่างชาติประมาณ 3,000 คน ปี พ.ศ. 2545 มีผู้เยี่ยมชม 1,190,000 คน และในปี พ.ศ. 2547 มีผู้เยี่ยมชมเฉลี่ยวันละ 7,000 คน
ที่มา : http://www.nextsteptv.com